ระบบน้ำหยด เป็นแนวทางหนึ่งในหลายแนวทาง ระบบน้ำหยดมีลักษณะเป็นน้ำหยด จากหัวน้ำหยดหรือท่อน้ำหยด/ท่อน้ำพุ่ง/เทปน้ำหยด และก็วิธีการทำให้น้ำด้วยระบบสเปร์ขนาดเล็ก หรือหัวพ่นหมอก
ระบบน้ำหยด เป็นการให้น้ำแก่พืชโดยการส่งน้ำผ่านระบบท่อและก็ปล่อยน้ำออกทางศีรษะน้ำหยด ซึ่งจะติดตั้งไว้บริเวณโคนของต้นพืช และน้ำจะหยดซึมลงมาที่รอบๆรากพืชอย่างช้าๆแล้วก็บ่อย เหมาะกับดินร่วนซุย ทำให้ดินมีความสดชื่นคงที่ในระดับที่พืชอยากได้ แล้วก็นำมาซึ่งการทำให้พืชเจริญวัยอย่างมีคุณภาพ
ระบบน้ำหยด เป็นระบบการปล่อยน้ำในจำนวนช้าๆตามตำแหน่งที่ต้องการอย่างถูกจุด เทปน้ำหยด เหมาะสำหรับ ไร่อ้อย มันสำประหลัง ข้าวโพด แตงโม เมล่อน อื่นๆอีกมากมาย
https://www.youtube.com/watch?v=xCNkzPkl4c0
1. เทปน้ำหยดแบบแบน คุณลักษณะเด่น คือ ราคาถูกมากกว่า ม้วนเก็บสายง่ายดายยิ่งกว่า เพราะเหตุว่าไม่มีกิ๊บข้างใน แต่ว่าเวลาวาง จะต้องวางให้ถูกต้อง โดยวางตะเข็บหงายขึ้น จะหยดดี หยดไว
2. เทปนน้ำหยดแบบกลม (กิ๊บ) จุดแข็งหมายถึงเกษตรกรคนไม่ใช่น้อยถูกใจเทปกลมเพราะว่า การวางสายจะง่ายยิ่งกว่า
ข้อดีของการให้น้ำพืชด้วยระบบน้ำหยด คือ เทปน้ำหยดราคาถูก ความประหยัดอดออมด้วยการใช้น้ำได้อย่างมีคุณภาพเนื่องจากให้น้ำพืชในปริมาณที่พอเหมาะพอควรและตรงจุดหรือ แถวที่พืชอยาก ทำให้พืชเติบโตเจริญ ส่วนวัชพืชที่ไม่ต้องการให้เจริญวัยนั้นก็จะขาด แคลนลานน้ำไปตามภาวะ เหมาะกับพืชต้นเล็กถึงปานกลางหรือเกษตรกรบางรายก็ดัดแปลงปรับปรุงแก้ไขทำเป็นวงกลมแล้ว เทปน้ำหยดปล่อยน้ำหยดหลายจุดให้กับพืชต้นเดียวสำหรับไม้ยืนต้นที่มีลำต้นใหญ่และก็รัศมี รากกว้าง
ข้อบกพร่องของการให้น้ำพืชด้วยระบบน้ำหยดเป็นน้ำจำต้องสะอาด จำต้องทำระบบกรองน้ำให้กับระบบ เนื่องจากรูน้ำหยดอุดตันง่าย ปั๊มที่ใช้ควรเป็นปั๊มที่มีแรงกดดันสูงอาทิเช่น ปั๊มรุ่น 4020 แรงดันสูงสุด 7.2 บาร์ เมื่อท่านวางระบบเป็นระเบียบระวังอยู่ 2 อย่างเป็น หนูนา กับไฟป่าให้ตรวจเช็คทุกๆอาทิตย์ ถ้าหากฝังดิน หนูจะกัดขาด
1. คุณภาพการให้นํ้าสูงมาก เนื่องจากสามารถควบคุมนํ้าได้ทุกขั้นตอน และก็มีการสูญเสียโดยการระเหยน้อย
2. ค่าครองชีพสำหรับในการให้นํ้าน้อยเพราะเหตุว่าไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานสำหรับการให้นํ้ามากมาย
3. สามารถให้ปุ้ยและก็สารเคมีอื่นๆแก่พืชพร้อมๆกับการให้นํ้าได้ด้วย โดยการผสมปุ๋ยอินทรีย์หรือสารเคมีเข้ากับนํ้าทางท่อดูดของเครื่องสูบนํ้าเข้าไปในระบบ
4. ไม่มีปัญหาโรคพืชหรือแมลงที่เกี่ยวเนื่องจากการชื้นแฉะของใบ
5. ลดปัญหาของการแพร่ขยายของวัชพืชเพราะนํ้าที่ให้แก่พืชจะเปียกผิวดินเป็นบริเวณแคบๆเท่านั้น
6. ไม่มีปัญหาเรื่องลมแรงที่จะพัดพานํ้าไปตกที่อื่น
7. ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ระบบส่งนํ้าขนาดใหญ่หรือเครื่องสูบนํ้าที่มีแรงม้าสูง
8. เนื่องจากว่าการให้ปุ๋ยอินทรีย์และสารเคมีโดยการผสมลงไปกับนํ้า โดยเหตุนั้นค้าใช้จ่ายสําหรับปุ๋ยอินทรีย์รวมทั้งสารเคมีก็จะลดลงด้วย
9. ระบบการให้นํ้าแบบนี้จะมีระยะเวลาการใช้แรงงานที่นานเว้นเสียแต่หัวข้อการตันของหัวจ่ายนํ้า
10. สามารถทําการติดตั้งการให้นํ้าแบบอัตโนมัติได้ง่ายๆ อาทิเช่น ให้นํ้าตามกําคราวดในเวลาที่ตั้งไว้ หรือให้นํ้าเมื่อความชื้นของดินในเขตรากลดลงถึงระดับหนึ่งฯลฯ
11. ไม่มีปัญหาเรื่องอัตราการซึมของนํ้าเข้าไปในดิน เนื่องจากว่าอัตราการให้นํ้าจะไม่มากพอที่จะทําให้ดินเปียกชุ่มเป็นบริเวณกว้างอยู่แล้ว
12. เพราะเหตุว่าจำนวนนํ้าที่ให้และก็ที่สูญเสียไปโดยการระเหยน้อย โดยเหตุนี้การสั่งสมของเกลือที่ติดมากับนํ้าในเขตรากพืชก็เลยไม่มากมาย
https://www.youtube.com/watch?v=aUsajhQF048
1. มีปัญหาเรื่องการตันที่ศีรษะจ่ายนํ้ามากมายเนื่องมาจากขี้ตะกอนทรายตะไคร่นํ้า หรือเนื่องมาจากการสั่งสมตัวของสารเคมีในนํ้า
2. เหตุเพราะรอบๆที่เปียกแฉะไม่กว้างขวางนัก ความเข้มข้นของเกลือซึ่งมักจะเกิดขึ้นในบริเวณนอกของส่วนที่ชื้นแฉะจึงชอบสูงแล้วก็บางทีก็อาจจะเป็นโทษต่อพืชได้
3. สามารถให้ปุ๋ยแล้วก็สารเคมีอื่นๆแก่พืชพร้อมๆกับการให้นํ้าได้ด้วย โดยการผสมปุ๋ยหรือเคมีกับนํ้าทางท่อดูดของเครื่องสูบนํ้าเข้าไปในระบบ
4. ค่าลงทุนคราวแรกค่อนข้างสูงเนื่องจากว่าต้องมีวัสดุอุปกรณ์หลายประเภท
https://www.youtube.com/watch?v=NCt5R7JzWXY
1. การให้น้ำจำนวนที่เหมาะสม กับความจำเป็นของพืชแต่ละจำพวก
2. การให้ปุ๋ยจำนวนที่เหมาะสม ซึ่งจะละลายผ่านเข้าสู่ระบบ
3. การวางแผนการบำรุงรักษาระบบ เพื่อได้ประโยชน์นานที่สุด
1. เมื่อมีการให้นํ้าแล้ว จำนวนแล้วก็ประสิทธิภาพของผลิตผลจะมากขึ้นมากน้อยแค่ไหนคุ้มหรือเปล่า
2. ราคาของผลิตผลนั้นคุ้มค่ากับค้าใช้จ่ายที่เสียไปหรือเปล่ากับการที่จะลงทุนติดตั้งระบบการให้นํ้าพืช
3. ต้องมั่นใจแล้วว่า แหล่งนํ้าที่มีอยู่นั้นมีเพียงพอกับการให้นํ้าตลอดฤดูกาลเพาะปลูกค้าใช้จ่ายการติดตั้งระบบการให้นํ้าหยด โดยส่วนมากจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000 ถึง 15,000 บาท/ไร่ เป็นราคาอุปกรณ์รวมทั้งค่าติดตั้งทั้งสิ้น
1. พืชที่ปลูก
2.จำพวกของดิน
3.ลักษณะพื้นที่(สูงต่ำ)
4. ความสม่ำเสมอ